วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีการสร้างDFD และข้อผิดพลาดของ DFD

สวัสดีคะเพื่อนๆ วันนี้มีบทความสรุปวิธีการสร้างDFD และข้อผิดพลาดของ DFD มาให้อ่านกันคะ

วิธีการสร้าง DFD
     ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนในการสร้าง DFD ที่มีระบบมากขึ้น
          1. กำหนดสิ่งที่อยู่ภายนอกระบบทั้งหมด และหาว่าข้อมูลอะไรบ้างที่เข้าสู่ระบบหรือออกจากระบบที่เราสนใจสู่ระบบที่อยู่ภายนอก ขั้นตอนนี้สำคัญมากทั้งนี้เพราะจะทำให้ทราบว่าขอบเขตของระบบนั้นมีอะไรบ้าง
          2. ใช้ข้อมูลที่ได้จากขั้นตอนที่ 1 นำมาสร้าง DFD ต่างระดับ
          3. ขั้นตอนถัดมาอีก 4 ขั้นตอนโดยให้ทำทั้ง 4 ขั้นตอนนี้ซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง จนกระทั่งได้ DFD ระดับต่ำสุด
               3.1 เขียน DFD ฉบับแรก กำหนดโพรเซสและข้อมูลที่ไหลออกจากโพรเซส
               3.2 เขียน DFD อื่นๆ ที่เป็นไปได้จนกระทั่งได้ DFD ที่ถูกที่สุด ถ้ามีส่วนหนึ่งส่วนใด ที่รู้สึกว่าไม่ง่ายนักก็ให้พยายามเขียนใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ควรเสียเวลาเขียนจนกระทั่งได้ DFD ที่สมบรูณ์แบบ เลือก DFD ที่เห็นว่าดีที่สุดในสายตาของเรา
               3.3 พยายามหาว่ามีข้อผิดพลาดอะไรหรือไม่ ซึ่งมีรายละเอียดในหัวข้อ "ข้อผิดพลาดใน DFD"
               3.4 เขียนแผนภาพแต่ละภาพอย่างดี ซึ่ง DFD ฉบับนี้จะใช้ต่อไปในการออกแบบ และใช้ด้วยกันกับบุคคล อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในโครงการด้วย
          4. นำแผนภาพทั้งหมดที่เขียนแล้วมาเรียงลำดับ ทำสำเนา และพร้อมที่จะนำไปตรวจสอบข้อผิดพลาดจากผู้ร่วมทีมงาน ถ้ามีแผนภาพใดที่มีจุดอ่อนให้กลับไปเริ่มต้นที่ขั้นตอนที่ 3 อีกครั้งหนึ่ง
          5. นำ DFD ที่ได้ไปตรวจสอบข้อผิดพลาดกับผู้ใช้ระบบเพื่อหาว่ามีแผนภาพใดไม่ถูกต้องหรือไม่
          6. ผลิตแผนภาพฉบับสุดท้ายทั้งหมด

     จะเห็นว่าการเขียน DFD นั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอยู่เกือบตลอดเวลา การเขียน DFD ด้วยมืออาจจะไม่สะดวกนัก ดังนั้นการเขียนด้วยคอมพิวเตอร์จะง่ายในการแก้ไข ซึ่งมีโปรแกรมสำเร็จรูปหลายโปรแกรมใช้ในการเขียน DFD ที่ใช้กันมากอย่างแพร่หลาย ระหว่างเขียน DFD ต้องสร้างพจนานุกรมข้อมูล และเขียนรายละเอียดข้อมูลเฉพาะ ของโพรเซส ขั้นตอนการเขียนทั้งหมดนี้จะช่วยให้เราหาข้อผิดพลาดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย

     ข้อผิดพลาดใน DFD     การเขียน DFD อาจะเขียนได้หลายแบบ ผลลัพธ์ฉบับสุดท้ายอาจจะไม่เหมือนกันถ้าเขียนโดยนักวิเคราะห์ระบบคนละคน ถึงอย่างไรแนวทางการเขียน DFD ซึ่งจะช่วยให้ เราเขียน DFD ได้ถูกต้องมากขึ้นก็มีอยู่บ้าง ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
          1. ถ้า DFD ซับซ้อนมาก ทุกๆ นิ้วในกระดาษถูกใช้งานทั้งหมด แสดงว่า DFD นั้นควรจะแตกย่อยไปอีกระดับหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่ง
          2. ข้อมูลที่ออกจากโพรเซส หรือผลลัพธ์มีข้อมูลขาเข้าไม่เพียงพอ เราจะต้องพิจารณาแผนภาพต่อไปอีก แต่ที่สำคัญไม่ควรใส่ข้อมูลที่ไม่เคยใช้เข้ามาในโพรเซสเป็นอันขาด
          3. การตั้งชื่อโพรเซสนั้นไม่ง่ายนัก อาจจะมีปัญหา 2 อย่างคือ โพรเซสนั้นควรจะแยกออกเป็น 2 ส่วน หรือเรา ไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในโพรเซสนั้นๆ ในกรณีนี้เราต้องศึกษาระบบให้ละเอียดยิ่งขึ้น
          4. จำนวนระดับในแต่ละแผนภาพแตกต่างกันมาก เช่นโพรเซสที่ 1 มีลูก 2 ชั้น แต่โพรเซสที่ 2 มีลูก 10 ชั้นแสดงว่าการแบ่งจำนวนโพรเซสไม่ดีนัก จำนวนลูกของโพรเซสไม่จำเป็นต้องเท่ากัน แต่ไม่ควรจะแตกต่างกันมากนัก
          5. มีการแตกแยกย่อยข้อมูล รวมตัวของข้อมูล หรือมีการตัดสินใจในโพรเซส แสดงว่าโพรเซสนั้นไม่ถูกต้องการแยกข้อมูล หรือรวมตัวของข้อมูลเป็นหน้าที่ของพจนานุกรมข้อมูล การตัดสินใจเป็นรายละเอียดอยู่ใน คำอธิบายโพรเซส 

     การสร้าง DFD ที่ดีเป็นงานที่ยากที่สุดสำหรับนักวิเคราะห์ระบบมือใหม่ หรือแม้แต่ผู้ที่มีประสบการณ์มาแล้วก็ตาม DFD ที่ไม่ดีจะทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายของระบบออกมาไม่ดีเช่นเดียว กันทั้งนี้เนื่องจาก DFD เป็นรากฐานสำหรับการออกแบบและพัฒนาโปรแกรม

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

หลักการออกแบบข้อมูลนำเข้า


ระบบงานคอมพิวเตอร์ทุกระบบงานในปัจจุบันต้องการกระบวนการที่จะเข้าถึง (Access ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว นักวิเคราะห์ระบบจึงต้องพยายามออกแบบแฟ้มข้อมูลและฐานข้อมูลให้เกิดความสะดวกและลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลให้ได้มากที่สุดเพื่อลดความยุ่งยากในการบำรุงรักษาฐานข้อมูล การใช้ฐานข้อมูลจึงเริ่มมีบทบาทมากและค่อย ๆ มากแทนที่แฟ้มข้อมูลแบบมาตรฐาน การใช้ฐานข้อมูลจำเป็นจะต้องได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ด้วย


หลักการออกแบบข้อมูลนำเข้า
นักวิเคราะห์ระบบจะเน้นหนักถึงความสำคัญของ Output มาก เนื่องจาก Output ของระบบงานถือว่าเป็นผลลัพธ์อันสำคัญในอันที่จะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ระบบ แต่ที่สำคัญไม่แพ้ Output ก็คือ ข้อมูลนำเข้า Input เพราะถ้าหากข้อมูลที่นำเข้ามาไม่ดีแล้ว ก็จะเกิดความผิดพลาดจากข้อมูลนำเข้าได้ง่าย ส่งผลทำให้ Output ที่ออกมาจากระบบผิดพลาดตามไปด้วย


หลักสำคัญที่ใช้ในการออกแบบฟอร์มสำหรับข้อมูลนำเข้า
1. ควรมีลักษณะที่ง่ายต่อการกรอก ทำให้ลดข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูลลดเวลาในการกรอกข้อมูล และลำดับการกรอกข้อมูลต้องเป็นไปตามความเป็นจริง
2. ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการ จะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่จะนำไปใช้ ว่ามีประโยชน์ใดบ้าง จะต้องมีข้อมูลอะไรบ้างที่จะต้องถูกบันทึกลงไป เอกสารจะถูกกระจายไปยังหน่วยงานใดบ้าง และหน่วยงานที่ได้รับจะนำข้อมูลในส่วนใดไปทำงานอะไร
3. การออกแบบต้องให้ตรวจสอบความถูกต้องได้ การออกแบบฟอร์มที่ดีต้องทำให้การเกิดข้อผิดพลาดลดลง จึงควรจะให้ความสำคัญในการทำให้ผู้ใช้แบบฟอร์มสามารถกรอกข้อมูลได้อย่างถูกต้องและสะดวกที่สุดเท่าที่จะทำได้
4. มีลักษณะที่ดึงดูดต่อผู้ใช้ การออกแบบฟอร์มให้เป็นที่ดึงดูดใจต่อผู้ใช้ ถือว่าเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง และมีความสำคัญในตัวเอง ถ้าหากแบบฟอร์มมีจุดดึงดูดแล้ว จะช่วยให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลที่เราต้องการได้ดีขึ้น และผู้กรอกจะรู้สึกพอใจที่จะกรอกมากขึ้น


นอกจาก 4 ข้อที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเน้นในการออกแบบฟอร์มของข้อมูลนำเข้า คือ ความเป็นระเบียบของข้อมูลที่ทำการกรอก ถ้าเป็นข้อมูลที่เป็นประเภทหรืออยู่ในกลุ่มเดียวกันจะจัดให้อยู่ร่วมกัน ช่องว่างสำหรับการกรอกข้อมูลต้องเพียงพอสำหรับการกรอก ตัวอักษรที่มีความแตกต่างกันเป็นการเน้นถึงจุดที่สำคัญ ๆ ของแบบฟอร์ม

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Google Analytics


Google analyticsGoogle Analytics ตัวเก็บสถิติเกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมของคนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซด์ รวมทั้งติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญการโฆษณา Adwords หรือโปรแกรมการโฆษณาอื่นๆ ด้วยข้อมูลนี้ จะทราบว่าคีย์เวิร์ดใดที่ได้ผล ข้อความโฆษณาใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด และผู้เข้าชมเว็บไซต์ออกจากเว็บไซต์ที่จุดใด

Google Analytics ใหม่ช่วยให้สามารถปรับปรุง ผลลัพธ์ออนไลน์ของคุณได้ง่ายขึ้น เขียน โฆษณาได้ดีขึ้น เพิ่มความแข็งแกร่งให้โปรแกรม การตลาด และสร้างการแปลงของเว็บไซต์ที่สูง ขึ้น Google Analytics สามารถใช้งานได้ฟรี โดยผู้โฆษณา ผู้เผยแพร่และเจ้าของเว็บไซต์ทุก ท่าน
ความสามารถหลัก ของ Google Analytics
Google analytics แบ่งความสามารถตามจุดประสงค์การใช้งานได้ดังต่อไปนี้คือ
  • สถิติเกี่ยวกับ Visitor รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์
  • สถิติเกี่ยวกับ Traffic รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์
  • สถิติเกี่ยวกับ Content รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการเข้าชมเนื้อหาภายในหน้าเว็บไซต์
  • สถิติเกี่ยวกับ Goal วิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานเข้าถึงเป้าหมายภายในเว็บไซต์ได้อย่างไร

การสมัครขอใช้ Google Analytics
การสมัครขอใช้ Google Analytics ให้ไปที่ http://www.google.com/analytics/th-TH/
รูปด้านล่าเป็นหน้าแรก ที่คุณเจอ หากคุณต้องการขอใช้ ให้คลิ๊กที่ ลงชื่อสมัครเข้าใช้วันนี้
สมัครขอใช้ analytics

ระบบ จะนำท่านมาหน้าเข้าใช้งาน ดังรูป หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิกของ google เลย ให้คลิ๊ก ที่หมายเลข 1?
หากคุณมี username แล้วให้ login ได้เลย ที่หมายเลข 2
เข้าระบบ

จากนั้น ระบบจะให้ใส่ข้อมูลเว็บของคุณ ให้กรอกรายละเอียดให้ครบ แล้วคลิ๊ก ดำเนินการต่อ
กรอกรายละเอียดของเว็บที่จะใช้ analytics
จากนั้น ระบบจะให้ใส่ข้อมูลผู้ติดต่อ ให้กรอกรายละเอียดให้ครบ แล้วคลิ๊ก ดำเนินการต่อ
ใส่ข้อมูลผู้ติดต่อ

จากนั้นระบบจะให้เราตอบตกลงยอมรับเงื่อนไข ให้คลิ๊ก ใช่ แล้วดำเนินการต่อ

 ยอมรับเงื่อนไข analytics

รับ code ที่จะนำไปใส่ในเว็บ ดังรูป


จากนั้นคุณจะได้รับ code ที่จะนำไปใส่ในเว็บ ดังรูป

code analytics
การใส่ code ลงในเว็บ ไม่ว่าคุณจะใช้ cms ตัวไหนก็ตาม แมมโบ้ จูมล่า drupal wordpress หนือเขียน html เอง คุณต้องนำ code ที่ได้ไปใส่ไว้ ก่อนปิด
  • หากคุณใช้ cms แมมโบ้ จูมล่า ให้เปิด ไฟล์ index.php ของแทมเพลต ที่คุณใช้มา แล้วแทรก code ลงไป ก่อนปิด   จูมล่า plugin ที่เกี่ยวข้อง
  • หากคุณใช้ wordpress ให้เปิดไฟล์ footer.php ของแทมเพลต ที่คุณใช้มา แล้วแทรก code ลงไปก่อนปิด
  • หากคุณใช้ Drupal ให้เปิดไฟล์ page.tpl ของแทมเพลต ที่คุณใช้มา แล้วแทรก code ลงไปก่อนปิด

ใส่ code google analytics

เมื่อใส่ code แล้วคุณต้องรอระบบ? Google Analytics? ติดต่อกับเว็บเราก่อน อาจใช้เวลา 10 นาทีหรือนานกว่านั้น
รอระบบ  Google Analytics  ติดต่อกับเว็บเรา?

หน้ารายงาน

หน้ารายงาน google analytics

Mambo และ Joomla! CMS


CMS คืออะไร?
 ความหมายของ Content Management System (CMS)
ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์(Content Management System : CMS) คือ ระบบที่พัฒนาคิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยลดทรัพยากรในการพัฒนา(Development) และบริหาร(Management)เว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังคน ระยะเวลา และเงินทอง ที่ใช้ในการสร้างและควบคุมดูแลไซต์โดยส่วนใหญ่แล้ว มักจะนำเอา ภาษาสคริปต์(Script languages) ต่างๆมาใช้ เพื่อให้วิธีการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น PHP, Perl, ASP, Python หรือภาษาอื่นๆ(แล้วแต่ความถนัดของผู้พัฒนา) ซึ่งมักต้องใช้ควบคู่กันกับโปรแกรมเว็บเซิร์ฟเวอร์(เช่น Apache) และดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์(เช่น MySQL)

ลักษณะเด่นของ CMS ก็คือ มีส่วนของ Administration panel(เมนูผู้ควบคุมระบบ) ที่ใช้ในการบริหารจัดการส่วนการทำงานต่างๆในเว็บไซต์ ทำให้สามารถบริหารจัดการเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว และเน้นที่การจัดการระบบผ่านเว็บ(Web interface) ในลักษณะรูปแบบของ ระบบเว็บท่า(Portal Systems) โดยตัวอย่างของฟังก์ชันการทำงาน ได้แก่ การนำเสนอบทความ(Articles), เว็บไดเรคทอรี(Web directory), เผยแพร่ข่าวสารต่างๆ(News), หัวข้อข่าว(Headline), รายงานสภาพดินฟ้าอากาศ(Weather), ข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจ(Informations),
ถาม/ตอบปัญหา(FAQs), ห้องสนทนา(Chat), กระดานข่าว(Forums), การจัดการไฟล์ในส่วนดาวน์โหลด(Downloads), แบบสอบถาม(Polls), ข้อมูลสถิติต่างๆ(Statistics) และส่วนอื่นๆอีกมากมาย ที่สามารถเพิ่มเติมดัดแปลง แก้ไขแล้วประยุกต์นำมาใช้งานให้เหมาะสมตามแต่รูปแบบและประเภทของเว็บไซต์นั้นๆ

Mambo และ Joomla!
แมมโบ้และจูมล่า ต่างก็เป็น CMS ที่มีความคล้ายกัน ณ เวอร์ชั่นปัจจุบัน Mambo 4.5.x และ Joomla! 1.0x เหตุที่ทั้ง 2 ตัวเหมือนกันเพราะ ทีมทำ joomla เกิดความขัดแย้งกับผู้ก่อกำเนิดMambo จึงแยกตัวออกจากทีมและมาก่อตั้ง joomla ขึ้นมา แต่ทีมแมมโบ้เองก็ได้ทีมพัฒนาใหม่ซึ่งในนั้นรวมคนไทยเข้าไปด้วย และ CmS ทั้ง 2 ตัว มีภาษาไทยรองรับ และสามารถใช้งานได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ความง่าย

            Mambo และ Joomla! เป็น CMS ที่ง่ายต่อการใช้ และทำได้รวดเร็วกว่า Open Source CMS อื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถใช้ได้ทั้งกับเว็บไซต์ส่วนตัวขนาดเล็กจนถึงเว็บไซต์เพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งความง่ายที่เป็นจุดเด่นของ Mambo มีดังนี้
การติดตั้งและการใช้งาน
            Mambo และ Joomla! มีขั้นตอนการติดตั้งที่ไม่ซับซ้อนเพียง 4 ขั้นตอน และมีคำอธิบายในหน้าจอการติดตั้งที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการใช้งานแบบ Web Interface ซึ่งมีเครื่องมือที่เพียงพอต่อความต้องการของเว็บไซต์ในหลายรูปแบบ

การออกแบบ

            Mambo และ Joomla! ยืดหยุ่นต่อการออกแบบหน้าตาเว็บไซต์ โดยมีเครื่องมือในการเลือกรูปแบบTemplate สำหรับใช้ในเว็บไซต์ของคุณได้โดยวิธีง่ายๆ และประหยัดเวลาเพียงคลิ๊กเดียวก็สามารถเปลี่ยนหน้าตาเว็บไซต์ได้ทันที  นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ Template ที่คุณสามารถหาดาวน์โหลดฟรีได้จากเว็บไซต์ Mambo ต่างๆ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถนำมาประยุกต์ให้เข้ากับความต้องการได้ง่ายขึ้น

การเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงเนื้อหา

            การเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือตัวอักษร (Content) ก็สามารถทำได้โดยง่าย มีลักษณะการใช้งานเป็นแบบ WYSIWYG (what you see in what you get) เช่นเดียวกับ MS Word ซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้าน HTML ทำให้การเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ยุ่งยาก

ความปลอดภัยของระบบ
            Mambo และ Joomla! ได้ออกแบบระบบบริหารเว็บไซต์ให้สามารถกำหนดสิทธิของผู้ใช้งานในระดับต่างๆ กัน สำหรับการเพิ่มเติมหรือแก้ไขเนื้อหาในส่วนที่กำหนดไว้ทำให้เพิ่มระดับความปลอดภัยของการเข้าถึงข้อมูลจากทั้งบุคคลภายในและภายนอก

ประสิทธิภาพและความสามารถของ Mambo และ Joomla!
            ประโยชน์หลักของ Mambo และ Joomla! คือการทำให้คุณสามารถจัดการกับเนื้อหาหรือข้อความ (Content) ได้โดยตรงผ่านหน้าเว็บ โดยผู้บริหารเว็บหรือผู้ดูแลเว็บไซต์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านโปรแกรม เช่นHTML ในการอัพเดทเว็บ เพราะ Mambo มี editor ออนไลน์ เช่น WYSIWYG editor ไว้เพื่อการจัดรูปแบบข้อความตัวอักษร (Text) และรูปภาพ ยิ่งกว่านั้นคุณไม่จำเป็นที่ต้องอัพโหลดเอกสารด้วยโปรแกรม FTP เพียงแค่คลิ๊กปุ่มapply หน้าเว็บของคุณก็จะออนไลน์เตรียมพร้อมรับผู้เข้าชมที่จะเข้ามาดูในเว็บของคุณได้ทันที

เราสามารถใช้ Mambo และ Joomla! กับเว็บไซต์ได้หลากหลายประเภท เช่น

-          เว็บท่า (Portals)
-          เว็บไซต์เชิงพาณิชย์ (Commercial Websites)
-          เว็บไซต์ที่ใช้ในองค์กร (Intranet Websites)
-          เว็บไซต์ที่ไม่แสวงหากำไร (Non-Profit Websites)
-          เว็บไซต์ส่วนตัว (Personal Websites)
-          เว็บไซต์ที่สร้างจาก Flash (Integrated Flash Sites)

นอกจากนี้ Mambo และ Joomla! ยังสามารถใช้งานได้หลายอย่างเช่น

-          อัพเดทเว็บไซต์ด้วยข่าว บทความและรูปภาพ
-          ง่ายต่อการสร้างเนื้อหาของคุณด้วยเมนู เช่น ผลิตภัณฑ์ > ฮาร์ดแวร์ > เครื่องเล่นดีวีดี หรือผลิตภัณฑ์ >ฮาร์ดแวร์ > เครื่องเล่นซีดี
-          อัพโหลด MS Word, MS Excel และ Acrobat PDF เพื่อให้ดูเอกสารได้
-          จัดการ Banner เช่น โฆษณา
-          สร้างโพล (แบบสำรวจ)
-          จัดการเว็บลิงค์
-          จัดการ FAQ
-          จัดการข่าวที่อยู่ในรูป Flash
-          จัดการกับ Mutti-media Flash, และไฟล์รูปภาพ .jpg , .pif, .bmp  และ .png
-          จัดการกับการป้อนข้าวจากแหล่งข่าวที่มาจากเว็บไซต์ต่างๆ
-          จัดการกับ Contact และอีเมลจากหน้าต่างๆ
-          ให้ระดับการเข้าถึงข้อมูล (Access) กับผู้ใช้
-          จัดการหน้า Archive
-          จัดการ Components, Modules และ Templates ที่พัฒนาขึ้นมาเพิ่มเติม เช่น E-Commerce, Forums,รูปภาพ ปฏิทิน กำหนดการ และ Help Desk เป็นต้น


 ความต้องการระบบ โฮสที่รองรับจูมล่าและแมมโบ้
-          ต้องมี php4 ขึ้นไป แนะนำที่ php5
-          ต้องมี Mysql 3 ขึ้นไป แนะนำที่ MySQL5
-          ต้องมี FTP ให้ใช้


*ความปลอดภัย
Mambo และ Joomla! ทั้ง สองตัวมีความปลอดภัยในการใช้งานในระดับดี และเว็บที่ใช้ CMS ทั้ง 2 ตัวมักถูกแฮกจาก Plugin เสริม ซึ่งบางทีเก่ามากและผู้ใช้ไม่ยอมอัพเดต การใช้งาน CMS Opensource ต้องขยันอัพเดตข่าวสารความปลอดภัย และคอมอัพเดตตามเวอร์ชั่นต่างๆ ของ CMS นั้นๆ



เว็บบอร์ดสอบถามปัญหา http://www.mambo.or.th 

นอกจากนั้น ยังมีบริษัทที่รับ Develop , Implement พัฒนาออกแบบแทมเพลต ของ แมมโบ้ และ จูมล่า เช่น บริษัท มาร์เวลิค เอ็นจิ้น จำกัด




  

ที่มา :  หนังสือสร้างเว็บแบบมืออาชีพด้วย mambo
    OPEN SOURCE Content Management System (CMS)
          ผู้แต่ง อัครวุฒิ  ตำราเรียง MamboHub.com

เรื่องของ Relationship

Relationship  
เป็นหัวใจสำคัญในเรื่องการออกแบบฐานข้อมูลซึ่งความสัมพันธ์จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 ลักษณะคือ

  1. ความสัมพันธ์แบบ One - to - One (1:1)
           ความสัมพันธ์ที่เรคอร์ดใดๆใน Table หนึ่ง สามารถจับคู่กับเรคอร์ดในอีก Table หนึ่ง ได้เพียงเรคอร์ดเดียวเท่านั้น (จับคู่กันแบบตัวต่อตัว) ความสัมพันธ์ลักษณะนี้จะพบเห็นได้ค่อนข้างน้อย เช่น กรณีที่จำนวนฟิลด์ใน Table มีมากเกินไป จนทำให้ Table มีขนาดใหญ่บำรุ่งรักษายาก จึงต้องแยกข้อมูลบางส่วนออกมาเก็บไว้อีก Table หนึ่ง แล้วสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง Table ทั้งสองด้วยฟิลด์ที่เป็นฟีลด์ร่วมในต้วอย่างนี้จะแยกข้อมูลบางส่วนใน Table พนักงานที่เป็นข้อมูลส่วนส่วนตัวออกมาไว้อีก Table และใช้ฟิลด์รหัสพนักงานเป็นตัวเชื่อม Table ทั้งสอง
  1. ความสัมพันธ์แบบ One - to - Many (1:N)  
          เป็นความสัมพันธ์ที่เรคร์ดใดๆใน Table หนึ่ง สามารถจับคู่กับเรคร์ดในอีก Table หนึ่งได้หลายๆเรคร์ดพร้อมกันเช่นความสัมพันธ์ระหว่าง Table ลูกค้ากับ Table การสั่งซื้อ ลูกค้าหนึ่งคนสามารถสั่งซื้อสินค้าได้มากกว่า 1 ครั้ง (หลายใบสั่งซื้อ) โดย แต่ละใบสั่งซื้อจะมาจากลูกค้าเพียงรายเดียวเท่านั้น หรือตัวอย่างตามรูป
  1. ความสัมพันธ์แบบ Many - to Many (M:N)
          เป็นความสัมพันธ์ที่หลายๆเรคร์ดใน Table หนึ่งสามารถจับคู่กับเรคร์ดในอีก Table หนึ่งได้หลายๆเรคร์ดพร้อมกันเช่นตวามสัมพันธ์ระหว่าง Table ลูกค้ากับ Table สินค้า ลูกค้าหนึ่งคนสามารถซื้อสินค้าได้หลายชนิด ในขณะที่สินค้าแต่ละชนิดก็ถูกซื้อโดยลูกค้าหลายๆคน ถ้านำ Table ทั้งสองมาเชื่อมความสัมพันธ์กันตรงๆจะทำไม่ได้ เพราะมีฟีลด์ร่วมของทั้ง 2 Tableต้องใช้ Table อื่นมาเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยง ซึ่งในที่นี้เราจะใช้ Table การสั่งซื้อมาช่วยสร้างความสัมพันธ์แบบ Many - to -Many


จะสรุปได้ว่าความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ One to One (1:1) ความสัมพันธ์ที่เรคอร์ดใดๆใน Table หนึ่ง สามารถจับคู่กับเรคอร์ดในอีก Table หนึ่ง ได้เพียงเรคอร์ดเดียวเท่านั้น ความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ One to Many(1:M) เป็นความสัมพันธ์ที่เรคร์ดใดๆใน Table หนึ่ง สามารถจับคู่กับเรคร์ดในอีก Table หนึ่งได้หลายๆเรคร์ดพร้อมกัน ความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ Many to Many (N:N)เป็นความสัมพันธ์ที่หลายๆเรคร์ดใน Table หนึ่งสามารถจับคู่กับเรคร์ดในอีก Table หนึ่งได้หลายๆเรคร์ดพร้อมกัน



วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การดีไซน์เอาต์พุตที่ออกทางจอภาพ (Disigning Screen Output)


การดีไซน์เอาต์พุตทางจอภาพ
การดีไซน์เอาต์พุตที่ออกทางจอภาพ (Disigning Screen Output) จะมีข้อแตกต่างกับเอาต์พุตที่ออกจาเครื่องพิมพ์อยู่หลายจุดด้วยกันคือ สำหรับจอภาพ (Screen) นั้น ข้อมูลที่แสดงออกมานั้นจะไม่ติดตายตัว (Permanect) เหมือนกับการใช้เครื่องพิมพ์พิมพ์รายงาน ลักษณะของเอาต์พุตจึงมีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก แต่ก็มีข้อจำกัดคือการออกเอาต์พุตทางจอภาพเหมาะสำหรับผู้ใช้ระบบที่ต้องมีจอภาพด้วย เราไม่สามารถจะแจกจ่ายเอาต์พุตให้กับผู้ใช้อื่นที่ขาดอุปกรณ์ดังกล่าวได้การที่กล่าวว่าจอภาพมีความยืดหยุ่นในการแสดงข้อมูลสูงกว่าเครื่องพิมพ์ จะหมายถึงความสามารถที่จะลบข้อมูลออกไปแล้วใส่ข้อมูลใหม่ได้ ความสามารถในการที่เลื่อนข้อมูลขึ้นลง (Scroll) หรือเลื่อนไปทางซ้ายหรือทางขวา หรือการเก็บตำแหน่งของข้อมูลบนจอภาพ (Save Screen) ไว้ชั่วคราว แล้วดึงออกมาแสดงใหม่ (Restore Screen) ในภายหลัง เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวของการแสดงผลทางจอภาพเลยทีเดียว
จากการที่จอภาพมีความสามารถในการทำงานหลายด้าน จึงจำเป็นอยู่เองที่นักวิเคราะห์ระบบจะต้องทำให้ผู้ใช้ระบบสามารถที่จะควบคุมจอภาพบางประการตามที่เขาต้องการได้ เช่น หากผู้ใช้ต้องการพิมพ์ข้อมูลออกทางจอภาพ ระบบงานอาจจะต้องพิมพ์ออกทีละ 24 บรรทัด และในบรรทัดที่ 25 อาจจะต้องถามผู้ใช้ระบบเสียก่อนว่า "กรุณากด (C) = ดำเนินการกด หรือกด (S) = หยุดงาน" ลักษณะเช่นนี้เป็นตัวอย่างที่ผู้ใช้ระบบมีความสามารถที่จะควบคุมจอภาพให้พิมพ์รายงานต่อออกทางจอภาพ เมื่อกด (C) และเมื่อต้องการจะหยุด ก็สามารถทำได้โดยการกด (S)


ข้อแนะนำในการดีไซน์จอภาพ

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการดีไซน์จอภาพอยู่ 4 หัวข้อ โดยสรุปจะได้ดังนี้
1. พยายามให้การแสดงข้อมูลบนจอภาพดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน
2. พยายามให้การแสดงบนจอภาพมีมาตรฐานแบบเดียวกัน เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความคุ้นเคยได้เร็ว
3. สำหรับข้อมูลบางอย่างที่ต้องการจะเน้นให้เห็นถึงความแตกต่าง ให้ใช้สีที่แตกต่างออกไปจากปกติ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้
4. ให้การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้ระบบกับจอภาพเป็นไปโดยธรรมชาติมากที่สุด เช่น การเลื่อนเคอร์เซอร์ (Cursor Movement) ควรจะเลื่อนจากบนลงล่างหรือจากซ้ายมาขวา ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติและมาตรฐานสากล เป็นต้น


การดีไซน์ลงแบบฟอร์มสำหรับดีไซน์จอภาพ (Screen Layout)

มีลักษณะเช่นเดียวกับการดีไซน์ลงในแบบฟอร์มสำหรับรายงาน (Report Layout) แบบฟอร์มสำหรับดีไซน์จอภาพจะมีขนาดเล็กกว่า เนื่องมาจากโดยปกติจอภาพทั่วไปจะมีความกว้าง 80 ตัวอักษร และมีความยาวได้เท่ากับ 25 บรรทัด ซึ่งโดยปกติ เราจะพบว่าแบบฟอร์มสำหรับการดีไซน์จอภาพจอให้เรากรอกได้ 24 บรรทัด เหตุที่เป็นเช่นนี้มักจะเกิดจากการที่ในเครื่องคอมพิวเตอร์บางชนิดจะสงวนบรรทัดไว้ 1 บรรทัดสำหรับแสดงผลเฉพาะระบบปฏิบัติการเท่านั้น ดังนั้น บรรทัดในการดีไซน์จึงได้หายไป จากเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้โปรแกรมเมอร์และนักวิเคราะห์ระบบเองพยายามหลีกเลี่ยงการใช้บรรทัดที่ 1 หรือบรรทัดที่ 25 อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อลดปัญหาการแสดงข้อมูลที่อาจจะไปทับกับข้อความที่แสดงโดยระบบปฏิบัติการดังที่กล่าวมาแล้ว
ในการดีไซน์จอภาพลงในฟอร์มนั้น เรายังคงยึดวิธีเดียวกันกับการดีไซน์รายงาน นั่นก็คือเราจะใช้ตัวอักษร X แทนข้อมูลตัวแปรที่เป็นตัวอักษร และ 9 แทนข้อมูลตัวแปรที่เป็นตัวเลข ส่วนข้อมูลใดที่เป็นข้อมูลตายตัว (Fixed) หรือเป็นค่าคงที่ (Constant) เราก็จะเขียนเข้าไปโดยตรงในแบบฟอร์มนั้นเลย





จันทร์วาริวิภา  แจ่มจันทร์ 52040774

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สัญลักษณ์ของDFD

1. สัญลักษณ์แทนการประมวลผล (Process) รูปสี่เหลี่ยมมีหมายเลขและชื่อกำกับ เป็นสัญลักษณ์แทนขั้นตอนในกระบวนการทำงาน จะกระทำให้ลักษณะของข้อมูลเปลี่ยนแปลงไป ดังตัวอย่าง

 
การประมวลผลจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลขาเข้าเป็นผลลัพธ์ นั่นหมายความว่า จะต้องมีการกระทำบางอย่างต่อข้อมูลทำให้เกิดผลลัพธ์ขึ้นมา โดยปกติแล้วข้อมูลที่เข้าสู่โพรเซสจะแตกต่างจากข้อมูลเมื่ออกจากโพรเซส
2. กระแสข้อมูล (Data Flow) กระแสข้อมูลแทนด้วยลูกศร โดยที่มีชื่อกำกับบนลูกศร
 

ข้อมูลจะไหลระหว่างโพรเซสต่างๆ และอาจจะเคลื่อนที่มาจากสิ่งที่อยู่นอกระบบก็ได้ ข้อมูลที่เคลื่อนที่อาจจะเป็นเพียงข้อมูลเดี่ยวๆ เช่น เลขที่สินค้า หรือกลุ่มของข้อมูล เช่น ข้อมูลพนักงาน ข้อมูลลูกค้า เป็นต้นกลุ่มของข้อมูลควรจะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือสัมพันธ์กัน ถ้าต้องการอ้างถึงข้อมูลทั้งสองที่ไม่เกี่ยวข้องกันให้เขียนแยกเป็นลูกศร 2 อัน เช่น



3. แหล่งเก็บข้อมูล (Data Store) แทนด้วยเส้นขนาน 2 เส้น ปลายปิด 1 ด้าน และมีชื่อและหมายเลขกำกับ ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในไฟล์และถูกเรียกใช้เมื่อต้องการ โดยปกติแล้วไฟล์ไม่อาจจะอยู่ในจานแม่เหล็ก หรือเทปแม่เหล็ก ถ้าหัวลูกศรวิ่งเข้าสู่ไฟล์แสดงว่า มีการเขียนข้อมูล หรือการแก้ไขข้อมูลในไฟล์ การตั้งชื่อไฟล์ควรเป็นคำนาม

 



4. แหล่งเก็บข้อมูลนอกระบบ (Terminator)สิ่งที่อยู่นอกระบบแทนวงรี ซึ่งจะมีชื่อ และชื่อกระบวนการกำกับอยู่ด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นตัวบุคคล หรือองค์การต่างๆ สิ่งที่อยู่นอกระบบอาจจะเป็นที่ส่งข้อมูลเข้าระบบ หรืออาจเป็นตัวรับข้อมูลจากระบบก็ได้



ในการเขียนแผนภาพการไหลของข้อมูล เราไม่สามารถเขียนเชื่อมโยงระหว่าง External Entity 2 ตัว เชื่อมต่อกันได้โดยตรง จำเป็นต้องผ่านโพรเซสอย่างน้อย 1 โพรเซส ดังรูป



 
 
 
ศึกษาต่อ คลิกที่นี่

การวางแผนการสัมภาษณ์

การเตรียมการและวางแผนการสัมภาษณ์มี 5 ขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลพื้นฐานไปจนถึงการเลือกผู้ที่เราต้องการจะสัมภาษณ์ ดังนี้

1. ศึกษา อ่านและเข้าใจพื้นฐานข้อมูลของผู้ถูกสัมภาษณ์ และลักษณะขององค์กร โดยอาจจะศึกษาจากรายงานต่าง ๆ จดหมายข่าว และข่าวสารที่กล่าวถึงองค์กรนั้นทำให้สามารถลดเวลาในการป้อนคำถามที่เกี่ยวข้องกับลักษณะขององค์กรนั้น ในขณะที่อ่านเอกสาร เราก็สังเกตถึงลักษณะท่าทาง ภาษาที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ที่เป็นสมาชิกอยู่ในองค์กรนั้นให้อธิบายถึงองค์กร จะช่วยให้การสัมภาษณ์สมบูรณ์ขึ้น

2. การตั้งเป้าหมายในการสัมภาษณ์ มีหัวข้อหลักที่ควรคำนึงถึงในการตั้งคำถาม คือ ศึกษาแหล่งที่มาของข้อมูล รูปแบบของข้อมูลที่ต้องการ ความถี่ในการใช้เพื่อการตัดสินใจ ปริมาณของข้อมูล และวิธีการตัดสินใจ

3. การเลือกผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ ในการเลือกผู้ที่เราต้องการสัมภาษณ์นั้น ควรจะรวมบุคคลหลักในทุกระดับงานในองค์กร ซึ่งอาจจะถูกกระทบในระบบ เพื่อพยายามให้เกิดความสมดุลในสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยอาศัยวิธีการติดต่อไปยังองค์กรนั้นสอบถามข้อมูลก่อนกำหนดตัวผู้ที่จะถูกสัมภาษณ์

4. เตรียมการสัมภาษณ์ โดยนัดกับผู้ถูกสัมภาษณ์ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้มีเวลาที่จะเตรียมตัวตอบหัวข้อและรายละเอียดในการให้สัมภาษณ์ ในการสัมภาษณ์ในแต่ละครั้งควรให้อยู่ในช่วงเลาระหว่าง 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เพื่อจะได้ไม่รบกวนเวลางานของผู้ถูกสัมภาษณ์มานัก

5. กำหนดชนิดของคำถามและโครงสร้าง ควรเขียนปัญหาให้ครอบคลุมส่วนหลักที่ใช้ในการตัดสินใจ และพูดซักถามให้เป็นไปตามเป้าหมาย เทคนิคในการตั้งคำถามเป็นหัวใจสำคัญในการสัมภาษณ์ คำถามโดยทั่วไปมีรูปแบบพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ควรจะทราบ 2 ประเภท คือ คำถามปลายเปิดและคำถามปิด ซึ่งคำถามแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียและผลกระทบต่างกันนอกจากนี้ยังมีลักษณะ

คลิกที่นี่เพื่อศึกษาต่อ

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบ

การออกแบบระบบมักจะใช้รูปภาพและสัญลักษณ์   เครื่องมือที่ใช้มีอยู่มากมายหลายชนิดแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน  ใช้ในโอกาสแตกต่างกัน  เครื่องมือแต่ละอย่างมีวิธีการสร้างคุณสมบัติ  และการใช้งานที่แตกต่างกัน  ขึ้นอยู่กับนักวิเคราะห์ระบบว่าจะนำไปใช้ในขั้นตอนใดซึ่งจะต้องศึกษาคุณสมบัติของเครื่องมือนั้นให้เข้าใจเพื่อที่จะได้นำ  ไปใช้อย่างถูกขั้นตอนและถูกต้องตามวิธีใช้งานของเครื่องมือแต่ละชนิด
แผนภูมิ Block Diagram
เป็นแผนภูมที่มีลักษณะของการใช้ Block Diagram ในการเขียนแผนภูมิการจัดองค์กร (Organization Chart)  ต่าง ๆ หรือใช้แทนความคิดที่ต้องการจะทำการวิเคราะห์และออกแบบระบบงานซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเขียนเป็นแผนภูมิของกิจกรรมต่าง ๆ ได้หลายอย่าง เช่น 
การใช้ Block Diagram ในการเขียนแผนภูมิการจัดองค์กร (Organization Chart) ซึ่งเป็นแผนภูมิที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรนั้น ๆ มีการจัดแบ่งเป็นองค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้างและแบ่งอย่างไร เช่น แบ่งออกเป็นฝ่ายแบ่งเป็นแผนก เป็นหน่วย มีงานอะไรบ้าง กี่หน่วยงานและหน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันในทางสายการบังคับบัญชากันอย่างไรเป็นต้น

                แผนภูมิการจัดองค์กร  (Organization Chart)
เป็นแผนภูมิที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรนั้น ๆ มีโครงสร้างหรือการจัดแบ่งเป็นองค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้างและแบ่งอย่างไร  เช่น  แบ่งออกเป็นฝ่าย เป็นหน่วยงานอะไรบ้าง กี่หน่วยงาน และหน่วยงานเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในสายการบังคับบัญชากันอย่างไร  รวมทั้งแสดงถึงความสัมพันธ์ของแต่ละตำแหน่ง  ซึ่งนักวิเคราะห์ระบบสามารถใช้แผนภาพองค์กรนี้ในการสัมภาษณ์  และสอบถามข้อมูลจากบุคคลต่าง ๆ ในองค์กรได้  เนื่องจากแผนภาพนี้แสดงถึงโครงสร้างขององค์การอย่างเป็นทางการ  แต่ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของแต่ละตำแหน่งในทางปฏิบัติงานจริงอาจมีความแตกต่างกันบ้าง  นักวิเคราะห์ระบบจึงต้องศึกษาและสอบถามจากบุคคลต่าง ๆ ในองค์กร

               แผนภาพการแจกจ่ายงาน  (Work Distribution Chart)
เป็นแผนภาพแสดงการแจกจ่ายงาน  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงงานต่าง ๆ  ที่ต้องกระทำว่ามีอะไรบ้าง  ใครเป็นผู้ทำ  และใช้เวลาเท่าใด รวมทั้งยังช่วยผู้บริหารโครงการแจกจ่ายงานให้แต่ละบุคคลได้อย่างทั่วถึงและสมดุล

งาน/บุคคล
สมศิริ
Assistance
Manager
ปิยะฉัตร
Purchasing
Supervisor
นงลักษณ์
Purchasing Clerk
พรทิพย์
Store
Receiver
การสั่งซื้อสินค้า

ตรวจสอบตาคา
และจำนวนที่สั่ง
(10)
พิมพ์ใบสั่งซื้อ (5)

การตรวจสอบ
ตรวจสอบและ
อนุมัติใบสั่งซื้อ
ตรวจทานใบสั่งซื้อ(2)


การรับสินค้า



ตรวจสอบสินค้าที่รับกับรายการที่สั่ง (15)
อื่น ๆ
จัดการประชุม(10)
ดูรายละเอียดปลีกย่อย (15)
จัดเก็บเอกสารการ
สั่งซื้อ (10)
จัดเก็บเอกสารการ
รับของ (10)
ภาพแสดงแผนภาพการแจกจ่ายงาน 

               แผนภูมิ  Gantt chart  (Gantt’s  Chart)
เป็นแผนภูมิแท่งชนิด  Bar Chart อย่างหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะต้องกระทำกับระยะเวลาหรือเวลาสำหรับการปฏิบัติงานของกิจกรรมนั้น ๆ การเขียน Gantt  chart จะต้องกำหนดเวลาของแต่ละโครงงาน ซึ่งจะแสดงภาพรวมของโครงการนั้น ๆ  ทำให้เข้าใจภาพรวมของระบบได้ง่ายขึ้น  บุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถทำการตรวจสอบความก้าวหน้าในการวิเคราะห์ระบบได้  อย่างเข้าใจและรวดเร็วมากขึ้น
Gantt chart ที่สร้างในส่วนบนตามแนวนอนของตารางจะแสดงหน่วยของเวลา ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน หรือหน่วยเวลาตามที่นักวิเคราะห์ระบบกำหนด ส่วนด้านข้างตามแนวตั้งของตาราง บรรทัดบนสุดจะเป็นชื่อโครงการ บรรทัดถัดมาจะเป็นรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ หรือขั้นตอนของโครงการซึ่งมักตั้งชื่อง่าย ๆ ที่สามาถเข้าใจได้ว่าโครงการนั้นทำอะไร

 

              ปฏิทินการปฏิบัติงาน  (Time Schedule and Time  Table)
เป็นปฏิทินในรูปลักษณะของตาราง ซึ่งแสดงถึงงานที่ต้องทำ วันที่ที่เริ่มทำงานและ  วันที่ที่ทำงานแล้วเสร็จ


กิจกรรมที่ต้องปฏิบัติ
เริ่มทำงานวันที่
สิ้นสุดการทำงานวันที่
การวิเคราะห์ระบบงานทะเบียน
1 ม.ค.  2548
15  ม.ค.  2548
การออกแบบระบบ
10  ม.ค.  2548
10  ก.พ.  2548
การพัฒนาระบบงานทะเบียน
15  ก.พ.  2548
31  ม.ค.  2548
การทดสอบปรับปรุงแก้ไขระบบ
15  ม.ค.  2548
15  เม.ย.  2548
การบำรุงรักษาระบบ
15  ม.ค.  2548
--------


รายละเอียดเพิ่มเติม  http://itd.htc.ac.th/st_it50/it5016/nidz/Web_Analyse/unit7.html

ณัฐฐิญา   ราญรอน

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คำอธิบายข้อมูล (Data Dictionary)


คำอธิบายข้อมูล (Data Dictionary)
ในการเขียนแผนภาพการไหลของข้อมูล (Data Flow Diagram:DFD) เป็นการเขียนกระบวนการทำงานต่างๆ ในระบบงาน แต่รายละเอียดของข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฏในระบบงาน แผนภาพการไหลของข้อมูล(DFD) ไม่สามารถนำเสนอได้ทั้งหมด ดังนั้นในการวิเคราะห์และออกแบบระบบจึงต้องมีการเขียนคำอธิบายข้อมูล (Data Description) หรือพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมด รายละเอียด คำอธิบายข้อมูลต่างๆ ในระบบงาน พจนานุกรมข้อมูลอาจแยกเขียนได้ดังต่อไปนี้

• พจนานุกรมโครงสร้างข้อมูล (Data Structure Dictionary) 
• พจนานุกรมกระแสการไหลของข้อมูล (Data Flow Dictionary)
• พจนานุกรมแหล่งการเก็บข้อมูล (Data Store Dictionary)
• พจนานุกรมหน่วยงานภายนอกระบบ (External Entity Dictionary)

Data Structure Dictionary
พจนานุกรมโครงสร้างข้อมูลเป็นการเขียนคำอธิบายหรือรายละเอียดของข้อมูลโครงสร้าง (Data Structure) ว่าประกอบไปด้วยข้อมูลย่อยหรือข้อมูลเดี่ยว(Data Element) อะไรบ้าง เพื่อความเข้าใจในระบบงานให้ชัดเจนมากขึ้น

สัญลักษณ์ที่ใช้ในพจนานุกรมโครงสร้างข้อมูล


สัญลักษณ์
ความหมาย
=
+
[ทางเลือกที่1 ทางเลือกที่2...]
Max {ส่วนประกอบ}

Min
(ส่วนประกอบ)
* COMMENT *
เท่ากับ
และ
ให้เลือกเพียงอันใดอันหนึ่ง
ทำซ้ำจากจำนวนต่ำสุดถึงสูงสุด
 
ส่วนประกอบนี้จะมีหรือไม่ก็ได้
หมายเหตุ ให้เขียนอยู่ภายในเครื่องมือ *...*

ตารางที่1 แสดงสัญลักษณ์ในการเขียนพจนานุกรมข้อมูล

ตัวอย่าง
สัญลักษณ์เท่ากับ
ใช้เขียนอธิบายว่าข้อมูลที่อยู่ทางซ้ายมือแยกย่อยลงได้เป็นข้อมูลย่อยๆ ทางขวามือ โดยมีเครื่องหมาย "+" หมายถึง"และ" ตัวอย่างเช่น
ที่อยู่ผู้ขาย = ถนน + จังหวัด + รหัสไปรษณีย์
สัญลักษณ์ [ ] หมายถึงให้เลือกหนึ่งจากตัวเลือกที่มีมากกว่าหนึ่ง เช่น
เกรด = [A B+ B C+ C D+ D E I]
* เกรดหมายถึงผลการเรียนในแต่ละวิชา *
สัญลักษณ์ { } การทำซ้ำสำหรับข้อมูลตัวหนึ่ง หรือกลุ่มของข้อมูลชุดหนึ่งนอกจากนั้นจะมีข้อความกำกับว่า "max" และ "min" หมายความว่าทำซ้ำจากจำนวนน้อยที่สุด (min) ไปถึงจำนวนมากที่สุด (max) ครั้ง ตัวอย่างเช่น
ใบสั่งซื้อ = ชื่อบริษัทที่ชื้อสินค้า + {ชื่อสินค้า+หน่วยสินค้า+จำนวน+ราคา}

Data Flow Dictionary
พจนานุกรมสำหรับการไหลของข้อมูลเป็นการเขียนอธิบายรายละเอียดของข้อมูลที่ปรากฎในแต่ละเส้นการไหลของข้อมูล (Data Flow) ในแผนภาพการไหลของข้อมูล เช่น

ข้อมูล
ชื่อข้อมูล
รายละเอียด
จาก
ถึง
... ....
... ... ... ...
... ... ... ...

ตารางที่ 2 แสดง Data Flow Dictionary

Data Store Dictionary
พจนานุกรมสำหรับการเก็บข้อมูล เป็นการเขียนคำอธิบายแหล่งเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นในระบบงานซึ่งจะรวมทั้งแฟ้ม ที่เป็นเอกสาร และแฟ้มที่จัดเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะดูได้จากแผนภาพการไหลของข้อมูล (Data Flow Dictionary : DFD) 

ตัวอย่างการเขียนพจนานุกรมสำหรับการเก็บข้อมูลดังตัวอย่าง

ชื่อแฟ้ม
ความหมาย
รายละเอียด
ความหมาย
PROD_MAS.DBF แฟ้มผลิตภัณฑ์ Prod_code
Prod_name
Prod_size
Batch_size
Price
Mat_cost
Prod_inv
Prod_safe
Back_ord
รหัสสินค้า
ชื่อสินค้า
ขนาดบรรจุ
ขนาดการผลิต
ราคาขาย
ราคาต้นทุนวัตถุดิบ
จำนวนของคงคลัง
Safety Stock
จำนวนค้างส่ง
BMAT_MAS.DBF แฟ้มสูตรการผลิต Prod_code
Mat_code
Mat_use
รหัสสินค้า
รหัสวัตถุดิบ
จำนวนใช้วัตถุดิบ

ตารางที่ 3 แสดงตัวอย่างพจนานุกรมสำหรับการเก็บข้อมูลในระบบงานวางแผนการผลิต   


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ >> http://www.bcoms.net/system_analysis/lesson61.asp

..ศิริพร ประวิสารัตน์..